ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ช่วยธุรกิจอสังหาฯดันเศรษฐกิจกระเตื่องก่อนสิ้นปี
รัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากมาย ก็ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจมวลรวมภายในประเทศหรือ จีดีพี เป็นไปได้ตามเป้าหมาย 2.8 % ในปีนี้ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระดับทรงตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ทำให้การส่งออกขยายตัวลดลงมาก ทำให้อาจปรับเป้าหมายจีดีพีในปีนี้ลดลงเป็น 2.6 % ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ติดตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ขณะเดียวกันฝั่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลด อัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี เหลือ 1.25% ต่อปี โดยให้มีผลทันที จากเหตุผลการส่งออกและการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงตามรายได้ของครัวเรือนและการจ้างงานที่ปรับลดลงเร็วโดยเฉพาะในภาคการผลิตเพื่อส่งออก รวมถึงแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้บนโยบายดังกล่าว ฟังอาจจะดูแย่เพราะส่วนใหญ่มาจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี แต่ในเรื่องที่ไม่ดี ก็ยังมีเรื่องดีซ่อนอยู่ เอฟเฟกดังกล่าวส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ในธนาคารพาณิชย์ลดลงด้วยเช่นกัน สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายทำให้ ต้นทุนโครงการของผู้ประกอบการถูกลง และ ฝั่งผู้บริโภค ทำให้อัตราการผ่อนชำระหนี้ดอกเบี้ยลดลง เพิ่มโอกาสในการกู้และวงเงินอนุมัติ โดยที่ธนาคารยังใช้หลักเกณฑ์เหมือนเดิมส่งผลให้เศรษฐกิจในภาพรวมอาจมีความคึกคักขึ้นก่อนสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ อีไอซี (EIC) กลับมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่กู้ยืมเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว แต่ผลต่อการช่วยลดภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนอาจมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อส่วนบุคคลมีอัตราดอกเบี้ยคงที่นอกจากนี้ไม่สามารถเพิ่มปริมาณการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ได้มาก เนื่องจากความต้องการสินเชื่อมีแนวโน้มชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจไทย และลดดอกเบี้ยอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินได้ ทั้งนี้ต้องมาลุ้นว่า หลังปรับลดจีดีพี และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงเพิ่มโอกาสในการซื้อสินทรัพย์จะช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจสิ้นปีนี้เป็นอย่างไร
