“บางกอกเคเบิ้ล” ชี้เป้า 5 จุดต้องตรวจเช็ค 3 มาตรการป้องกันสายไฟหลังแผ่นดินไหว
นายพงศภัค นครศรี ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) กล่าวว่า การตรวจสอบความเสียหายของสายไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าหลังแผ่นดินไหว สำหรับกลุ่มเจ้าของบ้าน เจ้าของห้องชุดในคอนโดมิเนียม ตลอดจนเจ้าของอาคาร มี 5 จุดหลักที่ต้องตรวจเช็ค ประกอบด้วย กลุ่มงานระบบไฟฟ้าของอาคาร 2 จุด คือ 1.ตู้ควบคุมไฟฟ้า ตรวจสอบว่าประตูของตู้ Main Distributor Board หรือ MDB และตู้ย่อยอื่นๆ ยังปิดสนิท ไม่มีรอยบิดเบี้ยว หรือความเสียหายเชิงโครงสร้าง 2.ระบบสำรองไฟฟ้า ตรวจสอบเครื่องสำรองไฟฟ้า (UPS) แบตเตอรี่สำรอง หรือเครื่องปั่นไฟ ว่ายังสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่ และกลุ่มงานระบบและสายไฟในห้องพัก 3 จุด ได้แก่ 1.เบรกเกอร์หลักและระบบป้องกันไฟฟ้า เบรกเกอร์หลักต้องยังทำงาน ไม่หลุดลงเอง รวมถึงไม่ตัดวงจรอัตโนมัติ 2.จุดเชื่อมต่อและการยึดติดของสายไฟฟ้า สายไฟฟ้าต้องไม่มีร่องรอยการขาด ชำรุด หรือหลุดจากจุดเชื่อมต่อ รางสายไฟและท่อร้อยสายยังคงยึดแน่นกับโครงสร้าง และ 3.สภาพของสายไฟฟ้า ไม่มีรอยฉีกขาด ฉนวนหรือเปลือกแตก ละลาย ซึ่งอาจเป็นผลจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือความร้อนสะสม โดยนอกจากจะสังเกตทั้งหมดด้วยวิธีการมองแล้ว อาจสังเกตเพิ่มเติมด้วยการฟังเสียงผิดปกติของอุปกรณ์ ตลอดจนการดมกลิ่นไหม้ เพื่อตรวจสอบความเสียหายที่มองไม่เห็นด้วย

“กรณีเป็นเจ้าของห้องพักคอนโดมิเนียม หรือผู้เช่าห้องพักในอาคารสูง บางจุด เช่น ตู้ MDB อาจไม่สามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ รวมถึงอาจมีอีกหลายจุดที่ต้องรอการยืนยันความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าส่วนกลางจากบริษัทบริหารนิติบุคคลอาคารก่อน เช่น ความปลอดภัยของระบบลิฟท์ ความปลอดภัยของสายไฟในพื้นที่ส่วนกลาง การไม่มีเสาไฟล้มเอียงโดยรอบอาคาร ข้อสำคัญคือ หากพบความเสียหายในจุดต่างๆ ไม่ว่าในห้องพักหรือพื้นที่ส่วนกลาง ห้ามซ่อมแซมด้วยตัวเอง เนื่องจากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ต้องแจ้งช่างไฟฟ้าที่มีความเชี่ยวชาญให้เข้าดำเนินการแก้ไขเท่านั้น” นายพงศภัค กล่าว

นายพงศภัค กล่าวเพิ่มเติมว่า แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจทำให้สายไฟเสียหายจนเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและอัคคีภัยตามมา หากไม่ใช้สายไฟที่มีคุณภาพ หรือการติดตั้งที่ถูกวิธี การติดตั้งสายไฟลงดินเป็นอีกหนึ่งในวิธีที่สำคัญในการลดความเสี่ยงจากผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ ตัวอย่างสายไฟที่สามารถฝังลงดินได้โดยตรง เช่น สายไฟ 450/750V NYY และสายไฟ 0.6/1kV CV เป็นสายไฟที่มีตัวนำทองแดงและฉนวน XLPE (Cross-linked polyethylene) และ เปลือก PVC (Polyvinyl chloride) อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้สายไฟที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่น ทนทานต่อแรงดึงและแรงกระแทกในอาคารต่างๆ ก็มีความสำคัญ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นข้อกำหนดบังคับสำหรับทุกอาคาร อาคารใหม่ในอนาคตจึงควรให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ รวมถึงการใช้สายไฟที่ได้มาตรฐาน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับอาคารมากยิ่งขึ้น
ขณะที่กลุ่มอาคารดั้งเดิม อาจไม่สามารถออกแบบระบบไฟฟ้าได้ใหม่ทั้งหมด แต่สามารถแบ่งการปรับปรุงเพื่อป้องกันแผ่นดินไหวได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่
1.ระดับที่ทำได้ง่ายและควรทำทันที เพิ่มจุดยึด (Seismic Bracing) ให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าหลัก เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า ตู้ MDB ตู้ไฟฟ้าย่อย และแผงควบคุมไฟฟ้า เพื่อลดความเสี่ยงจากการล้ม หรือหลุดจากตำแหน่ง เปลี่ยนจุดต่อสายไฟและขั้วต่อไฟฟ้า ให้เป็นแบบยืดหยุ่น (Flexible Connector) ป้องกันการแตกหักจากแรงสั่นสะเทือน เดินสายไฟในท่อร้อยสายที่มีความยืดหยุ่น (Flexible Conduit) โดยเฉพาะในจุดที่เสี่ยงต่อแรงดึง
2.ระดับที่ต้องมีการแก้ไขโครงสร้างบางส่วน เปลี่ยนสายไฟจากแบบปกติเป็นแบบมีความยืดหยุ่นสูง ติดตั้งระบบตัดไฟอัตโนมัติ (Seismic Shutoff Switch) เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรหากเกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรง เสริมโครงสร้างยึดรางสายไฟ (Cable Tray & Trunking) ให้แข็งแรงขึ้น
3.ระดับที่อาจต้องพิจารณาควบคู่กับการปรับปรุง (รีโนเวท) อาคาร เช่น สายไฟฝังในผนังเก่าที่แตกร้าวหรือเดินสายไฟโดยใช้ตัวนำเส้นเดี่ยว (Solid conductor) ที่มีความแข็ง ไม่ยืดหยุ่น อาจต้องพิจารณารีโนเวทโครงสร้างระบบไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด

“เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกสายไฟ ต้องเลือกใช้สายไฟที่มีคุณภาพสูง เนื่องจากสายไฟ คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินโดยตรง จำเป็นต้องเลือกจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือ ม.อ.ก.เท่านั้น” นายพงศภัค