ยาง-ปาล์ม-มันสำปะหลัง-ข้าว ครองแชมป์ พืชเศรษฐกิจไทยน่าลงทุนปี 2564
เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ ราคาสินค้าเกษตรมีการปรับราคาเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันกำลังซื้อในประเทศและต่างประเทศลดลงระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ ก็มีส่วนทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยผันผวนเช่นกัน เพราะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเป็นตัวกำหนดแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรของไทย แล้วในปีนี้พืชเศรษฐกิจชนิดไหนบ้างที่น่าลงทุน
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์แนวโน้มราคาพืชเศรษฐกิจ ดังนี้
1. ยางพารา ในปีนี้คาดว่าจะมีผลผลิต 4.7 ล้านตัน ลดลงประมาณ 2 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจาก มีตลาดซื้อขายล่วงหน้า เกิดอัตราแลกเปลี่ยน เข้ามากดราคาในบางช่วง อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมล้อยางเริ่มมีการฟื้นตัว รวมถึงความต้องการถุงมือยาง ส่งผลให้ราคายางปรับเพิ่มขึ้น เฉลี่ยกิโลกรัม(กก.)ละ 60 บาท
2. ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกของปี 2564 เฉลี่ยปาล์มดิบที่กก.ละ 6-7 บาท น้ำมันปาล์ม(ซีพีโอ) กก.ละ 25 – 25.25 บาท จากสถานการณ์โควิด -19 เริ่มคลี่คลาย และรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้น การใช้น้ำมันปาล์ม ผลิตกระแสไฟฟ้า การส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล รวมทั้งการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกินของผู้ประกอบการ ทำให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเฉลี่ยเดือนละ 2.4 แสนตัน ประกอบกับผลผลิตปาล์มน้ำมันในช่วงไตรมาสที่ 4 (ต.ค.- ธ.ค. 2563) ออกสู่ตลาดน้อย ประมาณ 19% ของผลผลิตทั้งหมด 16.36 ล้านตัน
3. มันสำปะหลัง มีผลผลิต 2.8 ล้านตัน หรืออาจจะน้อยกว่านี้เพราะ มีปัญหาโรคใบด่าง ซึ่งรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขได้ คาดว่าราคาจะอยู่ในระดับที่ดี เพราะจีนสั่งซื้อมันเส้นจากไทยมากขึ้นเพื่อป้อนโรงงานเอทานอล ปัจจุบันราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรได้รับเฉลี่ยที่ กก.ละ 2-2.50 บาท
4. ข้าวนาปี มีผลผลิต 25.5 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มขึ้น 6 % เนื่องจากฝนตกทั่วถึง เฉลี่ยราคาข้าว ที่ 8,000-8,500 บาทต่อตันข้าวเปลือก ซึ่งราคาอาจจะลดลงเล็กน้อยเพราะเป็นช่วงที่ข้าวออกสู่ตลาดพร้อมกัน ราคาข้าวไทยมีราคาสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง รวมทั้งการระบาดของโควิด-19 ทำให้กำลังซื้อลดลง ส่วนเรื่องราคาข้าวตกต่ำ รัฐบาลยังคงมีโครงการประกันรายได้ และมีมาตรการช่วยเหลือควบคู่ ซึ่งจูงใจให้เกษตรกรลงทุนต่อเนื่องในฤดูกาลผลิตต่อไป
