นายเปเป้ อรุณานนท์ชัย ผู้ก่อตั้ง บริษัท โลเคเนชั่น จำกัด กล่าวว่า การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษยังคงน่าจับตามองเพราะอังกฤษนั้นเป็นมหานครในฝันที่เป็นจุดหมายทั้งของนักท่องเที่ยว นักศึกษา และนักธุรกิจ ทำให้กรุงลอนดอนติดโผเมืองที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยที่กรุงลอนดอนเองนั้นมีอัตราการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัวในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งสูงกว่าเมืองอื่นๆ ในโลก “ในปัจจุบัน เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและเงินปอนด์ที่อ่อนตัวลง ทำให้การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษเป็นที่น่าจับตาของนักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะนักลงทุนชาวไทย” นายเปเป้ กล่าวเสริม
นอกเหนือไปจากความร่วมมือในครั้งนี้ บริษัท โลเคเนชั่น จำกัด ยังคงเป็นพันธมิตรที่ดีกับ บริษัท เบอร์เคลีย์ กรุ๊ป ในการแนะนำโครงการระดับเวิล์ดคลาสใหม่ๆ ให้กับกลุ่มลูกค้าในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการและเพิ่มโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศในอนาคต
นายนิค พานคาเนีย หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการประเทศไทย บริษัท เบอร์เคลีย์ กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทฯ มองเห็นโอกาสที่นักลงทุนไทยจะลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน จึงได้นำเสนอโครงการ White City Living เฟส 3 โครงการคุณภาพในกรุงลอนดอนฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นฝั่งที่เหมาะกับการอยู่อาศัย เนื่องจากมีความสะดวกสบายครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ออฟฟิศสำนักงาน และร้านอาหารชื่อดังมากมาย ด้วยจุดเด่น 5 ประการดังนี้
โครงการ White City Living เป็นส่วนหนึ่งของแผนบูรณะย่าน White City โดยรัฐบาลอังกฤษได้สนับสนุนงบประมาณกว่า 8,000 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 300,000 ล้านบาทไทย เพื่อบูรณะย่านนี้ ประกอบไปด้วย การสร้างแคมปัสแห่งใหม่ของอิมพิเรียล คอลเลจ ลอนดอน (Imperial College London), การปรับปรุงห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในกรุงลอนดอนอย่างห้างสรรพสินค้าเวสท์ฟิล์ด (West Field), โครงการ White City Place ที่จะเป็นทั้งโรงแรม ออฟฟิศ ร้านอาหาร, และการปรับปรุงอดีตอาคารสำนักงานของ BBC – Television Centre ให้เป็นพื้นที่สำนักงานใหม่ และสร้างโครงการที่อยู่อาศัย White City Living ที่พัฒนาโดย เบิร์กเลย์ กรุ๊ป เซนต์เจมส์ เชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้า 2 สถานี เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า 3 สายหลัก และยังสามารถเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติฮีทโธรว์ โดยใช้เวลาเพียง 30 นาที ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม
โครงการ White City Place ซึ่งจะเป็น Start-up hub แห่งใหม่ของกรุงลอนดอน รายล้อมด้วยร้านอาหารกว่า 100 ร้าน และเป็นที่ตั้งของ Soho House – White City House เอ็กซ์คลูซีฟคลับที่เหล่าดาราและนักการเมืองล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิก เดินทางเพียงไม่เกิน 10 นาทีก็สามารถเชื่อมต่อไปถึงย่านสำคัญๆ ของกรุงลอนดอน ทั้ง Nothing Hill, Kensington Palace และ Hyde Park เชื่อมต่อกับแคมปัสแห่งใหม่ของ Imperial College London มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศอังกฤษที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นท็อป 5 ของอังกฤษ และท็อป 10 ของโลก นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น Royal College of Art, Nothing Hill Prep School และโรงเรียนชั้นนำอื่นๆ อีกมากมาย จัดเต็มด้วยบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่มอบให้กับผู้พักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สีเขียวกว่า 20 ไร่ ผ่อนคลายไปกับสระว่ายน้ำพร้อมระเบียงอาบแดด สนุกกับการออกกำลังกายในฟิตเนสสุดทันสมัยที่มีอุปกรณ์ครบครัน พร้อมด้วยห้องสำหรับ personal training ห้องซาวน่า ห้องอบไอน้ำ และสปา
สำหรับโครงการ White City Living เฟส 3 เป็นอาคารพักอาศัยใหม่ 2 อาคารด้วยกัน ได้แก่ The Waterside และ Cassini ซึ่งเป็นอาคารรูปทรงกลมมน มีตั้งแต่ 1-3 ห้องนอนด้วยกัน ตกแต่งพร้อมอยู่ในสไตล์โมเดิร์น เน้นการออกแบบที่ทันสมัย สบายตา แต่หรูหราดูแพง ในราคาเริ่มต้นยูนิตละ 775,000 ปอนด์ หรือ ประมาณ 30 ล้านบาท
นางสาวจุฑามาศ ลีวานันท์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาดสำหรับที่อยู่อาศัยต่างประเทศ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษว่า ในปัจจุบันนักลงทุนไทยให้ความสนใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพิ่มมากขึ้น เนื่องด้วยอุปทานที่อาศัยในกรุงลอนดอนมีไม่เพียงพอกับความต้องการ เพราะกรุงลอนดอนนั้น นอกจากจะเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทระดับโลกจำนวนมากแล้ว ยังเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินของโลก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และเป็นศูนย์กลางทางด้านการศึกษาระดับสูง ซึ่งประกอบไปด้วยมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยมากกว่า 40 แห่ง ประกอบกับค่าเงินปอนด์อ่อนตัวอยู่ในระดับที่ต่ำเป็นเวลา 5 ปีติดต่อกัน และค่าเงินบาทที่แข็งตัว
“การลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของกรุงลอนดอน ให้ผลการตอบแทนค่าเช่าที่ดีถึง 3-4% และราคาขายเติบโต 6-10% ต่อปี ซึ่งดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ในระยะกลางถึงระยะยาว เนื่องจากกรุงลอนดอนเป็นที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีรูปแบบกฎหมายที่โปร่งใส การถือครองกรรมสิทธิ์ในสัญญาเช่า (Leasehold) ที่มีความยาว 999 ปี” นางสาวจุฑามาศ กล่าวเพิ่มเติม