“ลลิล“ ประกาศผลประกอบการปี 2562 เติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือกว่าอุตสาหกรรมต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่สี่โดยมียอดรับรู้รายได้ที่ 4,640.93ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนหน้า 13%
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในปี2562 ที่ผ่านมาภาพรวมมีการหดตัวลง โดยมีปัจจัยลบหลายปัจจัยทั้งจากภายนอกและภายในประเทศโดยเฉพาะปัญหาภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ผลประกอบการในปี 2562 ของผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีการหดตัวลง และมีแนวโน้มที่จะหดตัวต่อเนื่องมาในปี 2563 นี้ อย่างไรก็ดีสำหรับลลิลฯ มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ พยายามหาช่องว่างตลาดและเข้าถึง Customer Insight โดยคัดสรรทำเลที่มีศักยภาพ ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริงจึงทำให้บริษัทยังคงสามารถขยายตัวได้ดีติดต่อกันต่อเนื่องเป็นปีที่สี่ แม้ในภาวะของตลาดอสังหาฯ โดยรวมที่ซบเซา
โดยสำหรับผลประกอบการปี 2562บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ 4,640.93 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป็นยอดที่เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าราว13%ในแง่ของการบริหารจัดการต้นทุน บริษัทยังคงรักษามาตรฐานในการบริหารงานจัดการต้นทุนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่องไม่ว่าเป็นในเรื่องของการจัดหาที่ดิน การบริหารต้นทุนการก่อสร้าง ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนขายและบริหารตลอดจนการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน ส่งผลให้ในปี 2562บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 891.51ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 15%
ในแง่ของโครงสร้างเงินทุนณ สิ้นปี 2562บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ระดับเพียง 0.75เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ราว 1.4 เท่า อย่างมากทั้งนี้ระดับ D/E Ratio ของบริษัท ณ สิ้นปี 2562 แทบไม่เปลี่ยนแปลงจาก ณ สิ้นปี 2561 ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 มีการลงทุนเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมสูงกว่า6,500 ล้านบาทแต่การบริหารจัดการให้เกิดEconomy of speed ช่วยให้รอบของเงินทุนหมุนได้จำนวนรอบมากขึ้น จึงช่วยให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ของบริษัทไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้บริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการเงินอย่างรัดกุมโดยมีการใช้แหล่งเงินกู้ที่หลากหลายทั้งระยะสั้น และระยะยาว ตลอดจนมีการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ซึ่งมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำลง ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดชำระ ซึ่งล่าสุดบริษัทเพิ่งมีการออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี มูลค่า 500 ล้านบาท ไปเมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่2.9%
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติเห็นชอบจัดสรรกำไรสำหรับปี 2562ให้กับผู้ถือหุ้น โดยเสนอให้จ่ายเงินปันผลทั้งปีในอัตราหุ้นละ0.385บาท ซึ่งหากคิดที่ราคาหุ้นปัจจุบัน คิดเป็นDividend Yield อยู่ที่ราวเกือบ8.0%โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วที่0.175บาท ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มอีก 0.21 บาทต่อหุ้น โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 16มีนาคม 2563 (หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 13มีนาคม 2563) และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 8พฤษภาคม 2563ทั้งนี้การจ่ายปันผลดังกล่าวต้องนำเสนอขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563ในเดือนเมษายนนี้