คอนโดไฮเอนด์ปี 63 ยังเติบโตได้ดี แต่ต้องเล็งทำเลศักยภาพ-มีดีมานด์
เหล่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายออกมาฟันธงแล้วว่า สถานการณ์ของตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์ ขยายตัวลดลงมาอยู่ที่ 2.8% จากเดิม 3.3% จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value: LTV) ทำให้ตลาดมีความผิดปกติ ภาพรวมทรุดตัวต่อเนื่องมาถึงไตรมาสปัจจุบัน คาดว่า ในปี 2563 หาก ธปท.จะออกเกณฑ์บริหารหนี้ครัวเรือน ผ่านมาตรการควบคุมหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio:DSR) จะยิ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์ เพิ่มความเข้มงวดหนักในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อบุคคลมากขึ้นซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะมีผลกระทบกับผู้ประกอบและผู้บริโภคที่สร้างหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ระดับกลางจนถึงล่าง แล้วตลาดระดับบนหรือที่เรียกว่า ไฮเอนด์จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้หรือไม่ใน ปี 2563 นี้
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษาเรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) วิเคราะห์สถานการณ์ฝั่งผู้ประกอบการในช่วงปีนี้ ว่า ราคาที่ดินสูงเกินกว่ากำลังซื้อของ ผู้บริโภค ทำให้ผู้ประกอบการต้องชะลอการซื้อที่ดินออกไปก่อน เพราะการพัฒนาโครงการ ระดับไฮเอนด์ ต้นทุนการก่อสร้างโครงการไฮเอนด์จะเกือบๆเท่าของราคาที่ดิน แต่ถ้าเป็นโครงการซูเปอร์ ลักชัวรี ค่าก่อสร้างจะเท่ากับราคาที่ดิน หรือต้นทุนก่อสร้างประมาณ 1.2-1.3 เท่าของราคาที่ดิน สิ่งที่ตามมา เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ หากโครงการคอนโดฯ ยังขายไม่หมด เจ้าของโครงการจะมีต้นทุนเรื่องดอกเบี้ย และภาระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ทำให้ต้องเร่งระบายสต๊อกผ่านการลด แลก แจก แถม ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ และโดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่รูปแบบผสมผสาน (มิกซ์ยูส) เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่คอนโดมิเนียมขายไม่หมด
ขณะที่นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดไฮเอนด์ในปีนี้ ทำเลดียังสามารถขายได้ดี หากขายไม่ดี ก็หยุดอยู่แค่นั้น ดังนั้นในปี 2563 โครงการที่จะพัฒนาไม่ควรไปอยู่ในทำเลที่มี ซัปพลายมาก ควรเลือกทำเลที่มีศักยภาพ และมีดีมานด์ เพราะตลาดคอนโดไฮเอนด์ ส่วนหนึ่งก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ,ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะประกาศใช้ในต้นปี 2563 เช่นกัน
ในทางเดียวกัน แสนสิริ หนึ่งในผู้ประกอบการอสังหาระดับไฮเอนด์ก็มองว่าตลาดระดับนี้ยังสามารถเติบโตได้ในปี 2563 เพราะลูกค้ากลุ่มนี้เป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้อและได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไม่มาก รวมทั้งเลือกซื้อสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ รวมถึงดีไซน์การออกแบบ และมองว่าราคาไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญในการตัดสินใจด้วย
