หลังจบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา ชูรัชฏ์ได้มีโอกาสเข้ามาดูแลงานในฝ่ายการตลาด 2 หรือ SBU 2 บริหารในส่วนของแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “LANCEO” และ “LIO” ซึ่งเป็นสายงานใหม่ของบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
สายงานที่เขาดูแลอยู่นั้นเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยหนุ่มสาว วัยทำงาน ที่มีอายุระหว่าง 25-38 ปี โดยผลิตภัณฑ์นั้นคือ “ตลาดบ้านเดี่ยว” และ “ทาวน์โฮม” รวมทั้งกำลังเปิดตัวโครงการ “คอนโดมิเนียมใหม่” ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ เนื่องจากมองเห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีฐานลูกค้าที่กว้างมากขึ้น ประกอบกับคนกลุ่มนี้มีกำลังซื้อที่มากขึ้นด้วย
“เราได้ตั้งกลุ่มเป้าหมายไว้ว่า หากเป็นแบรนด์ LIO ระดับราคาจะอยู่ที่ 1 ล้านกลางไปจนถึง 2 ล้านต้น เป็นทาวน์โฮมเพื่อคนรุ่นใหม่ 2-3 ชั้น หากเป็นแบรนด์ LANCEO จะเป็นบ้านเดี่ยวในระดับราคา 2 ล้านกลางๆถึง 5-6 ล้านบาท เน้นการซื้อบ้านหลังแรกของคนกลุ่มนี้เป็นสำคัญ”
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้มอบสิ่งที่ดีที่สุด ในราคาที่สมเหตุสมผล
โดยช่วงก่อนที่จะเข้ามาบริหารงานด้านอสังหาฯของบริษัท ชูรัชฏ์มองว่า “บ้านเป็นปัจจัย 4 เราจะทำอย่างไรให้ลูกค้าของเรามีบ้านที่ดีมีคุณภาพอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ในราคาสมเหตุสมผล”
ต่อเมื่อภายหลังเขาได้เข้ามารับผิดชอบธุรกิจนี้แบบเต็มตัว ทำให้ได้รู้ว่ามุมมองของเขานั้นก็ยังคงเหมือนเดิม มีความตั้งใจเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน
“ผมรู้สึกว่าการที่คนจะซื้อบ้านได้สักหลังต้องเก็บเงินมานานกว่า 5-10 ปี จึงอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า”
ชูรัชฏ์ทำการตลาดในแบบ Consumer Centric คือ มองที่ลูกค้าเป็นสำคัญ
“เราเน้นตอบโจทย์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ทั้งในส่วนของ LANCEO ที่เป็นบ้านเดี่ยวและ LIO ที่เป็นทาวน์โฮม เพราะจริงๆแล้วลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มนี้มีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของทำเล $ไลฟ์สไตล์ และความต้องการ โดยเราจะมองที่ลูกค้าอายุ 25-38 ปีว่าเขาต้องการอะไร
ด้านกลยุทธ์ทางการตลาดของ SBU 2 ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ยังคงใช้สื่อ Traditional Media อาทิ สื่อสิ่งพิมพ์ โบร์ชัวร์ ใบปลิวและ ป้ายโฆษณา เช่นเดิม และมีการเพิ่มในส่วนของNew Media และ E-Marketing มากขึ้น ซึ่งตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยขณะนี้ลูกค้าของเรารับทราบข้อมูลโครงการผ่านสื่อ New Media และ E-Marketing ในสัดส่วนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งลูกค้าที่ซื้อโครงการส่วนใหญ่พึงพอใจโครงการเรา ก่อให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก
เรายังคงตั้งมั่นในจุดแข็งและจุดเด่นของเรามาโดยตลอดคือ คุณภาพของบ้านแต่ละหลังที่เราตั้งใจสร้างเพื่อลูกค้า การเลือกใช้วัสดุที่ดี และการดีไซน์โครงการที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงตามความต้องการ โดยทางลลิลมีฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อพัฒนาแบบบ้านและรูปแบบโครงการอยู่ตลอดเวลา โดยเสนอในราคาที่เหมาะสมให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของได้”
แบรนด์ใหม่ คอนเซ็ปต์ใหม่ ไลฟสไตล์คนรุ่นใหม่
โจทย์ที่ท้าทายเขาและทีมงานก็คือ การสร้างแบรนด์ LANCEO และ LIO ให้อยู่ในใจลูกค้ โดยLANCEO ได้นำแนวคิดด้านการออกแบบมาจากสถาปนิกชื่อดังชาวสหรัฐอเมริกา นั่นคือ แนวคิด “Natural Organic” ของ Mr.Frank Lloyd Wright
“Natural Organic” คือ การประยุกต์ธรรมชาติเข้ามาในการตกแต่ง แนวคิดของเขาน่าสนใจมาก และตรงกับเทรนด์ในปัจจุบัน เหมาะกับคนวัยหนุ่มสาว เนื่องจากปัจจุบันคนกำลังเผชิญกับปัญหา Global Warming คนจึงได้หันมาใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น โดยใช้สี Earth Tone , มี Organic Pattern และการเลือกใช้เส้นตั้ง เส้นนอน เพื่อแสดงถึงความเป็น Modern Organic
ตรงนี้แหละที่เรามองว่าน่าจะนำมาเจาะกลุ่มลูกค้าในช่วงอายุนี้ได้ เราเขียนใหม่ทั้งโครงการ ไม่มีส่วนไหนเหมือนของเก่าเลย ดีไซน์ทันสมัยขึ้น ทั้งในเรื่องคอนเซ็ปต์ ดีไซน์ของตัวบ้านภายในและภายนอก เน้นเส้นสาย ลวดลาย ที่ทันสมัยขึ้น แม้แต่ในพื้นที่ส่วนกลาง สโมสร คลับเฮ้าส์ ได้มีการพัฒนาปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ที่สำคัญคือเรื่องของราคาซึ่งเราต้องสร้างและตอบโจทย์ความคุ้มค่าของผู้ซื้อกลุ่มวัยหนุ่มสาวให้สามารถเป็นเจ้าของบ้านได้จริง”
พบคอนโด ไตรมาส 4 ปีนี้แน่นอน
เมื่อมีคำถามที่ถามกันหนาหูเหลือเกินว่า เมื่อไหร่ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จะหันมาจับตลาดคอนโด ทายาทหนุ่มคนนี้ก็ตอบทันใดว่า “ทำแน่”
“เราศึกษาเรื่องนี้มานานมากแล้ว และเป็นอีกหนึ่งโปรเจ็คที่อยู่ในสายงาน SBU 2 และตอนนี้เราพร้อมแล้วสำหรับการเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมาในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้
ด้วยความที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบลูกค้ากลุ่มนี้ เราจึงพยายามแสวงหาสิ่งที่ตรงใจลูกค้ามาโดยตลอด สาเหตุหลักที่เลือกที่จะทำคอนโดมิเนียมนั้น ไม่ใช่เพราะเราต้องการตามกระแส แต่เรามองว่า ตลาดยังมีช่องว่างของตลาดแนวสูงอยู่ และที่ผ่านมาทางบริษัทยังหาทำเลที่ถูกใจไม่ได้
เราเน้นตลาด Real Demand เป็นหลัก เราต้องการทำเลที่ดีจริง เมื่อลูกค้ามาอยู่ต้องเดินทางสะดวกสบายสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง โดย ณ ปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียมจะยังไม่ใช่พอร์ตใหญ่ของบริษัท แต่จะเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่เราขาดหายไป”
ที่ผ่านมา ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางตัวเองไว้ว่า “เมื่อคิดถึงบ้านหลังแรก ลูกค้าต้องนึกถึงลลิล
พร็อพเพอร์ตี้เสมอ” สนองตอบความต้องการของลูกค้า Real Demand เป็นหลัก ทั้งพนักงานเอกชน ข้าราชการและเจ้าของธุรกิจ เพราะหากเทียบกับแบรนด์อื่นที่บ้านราคาประมาณ 5-6 ล้านบาท
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้คุ้มค่ากว่าเสมอ
“เราจะมุ่งมั่นสร้างบ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดีให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง นี่คือ เป้าหมายสูงสุดของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้”